วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สสปน.และสื่อมวลชนโลกเข้าเยี่ยมชมอาคาร โอเชี่ยนทาวเวอร์



สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สสปน.
และคณะตัวแทนสื่อมวลชนจากทั่วโลก
เข้าเยี่ยมชมอาคาร “โอเชี่ยนทาวเวอร์” อมารีออคิดรีสอร์ทแอนด์ทาวเวอร์ พัทยา

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สสปน. นำโดย
คุณสกรรณ์ โกวิทวานิช ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ นำคณะ
ตัวแทนสื่อมวลชนจากทั่วโลกทั้งสิ้น 20 ท่านเข้าเยี่ยมชมอาคาร “โอเชี่ยนทาวเวอร์” อมารีออคิด
รีสอร์ทแอนด์ทาวเวอร์ โดยมีมร. เดวิด คัมมิ่ง ผู้จัดการทั่วไปให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

หมายเหตุบรรณาธิการ
อมารีออคิดรีสอร์ทแอนด์ทาวเวอร์ตั้งอยู่บริเวณชายหาดพัทยาเหนือ โรงแรมให้บริการห้องพักหรูหราจำนวนทั้งสิ้น 525 ห้อง เป็นห้องพักจำนวน 297 ห้อง ณ อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ ซึ่งรวมห้องชุดและห้องพักบนชั้นผู้บริหาร
(ฮอร์ไรซันคลับ) พร้อมระเบียงส่วนตัว และที่อาคารการ์เด้นวิงให้บริการห้องพักและห้องชุด 228 ห้อง ห้องพักส่วนใหญ่มีระเบียงส่วนตัว โรงแรมยังเพียบพร้อมด้วยบริการห้องอาหารหลากหลาย รวมทั้งห้องอาหารและบาร์มันตรา พร้อมบริการห้องประชุมขนาดใหญ่และเล็ก รวมถึงอรันดาบอลรูมอันทันสมัย นอกจากนั้นยังมีบริการเสริมสร้างความสุข ความเพลิดเพลินต่างๆ เช่น สระว่ายน้ำกลางแจ้งสองแห่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์กีฬาทางน้ำและสนามกอล์ฟอีกด้วย

หากท่านต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือรูปภาพความละเอียดสูงโปรดกรุณาติดต่อได้ที่
ธนินช์รัฐ กลิ่นหอม / ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์
อีเมล์: dpr@orchid.amari.com
นริสา นิติกาล / เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
อีเมล์: pr@orchid.amari.com
อมารีออคิดรีสอร์ทแอนด์ทาวเวอร์
โทรศัพท์ +66 (0) 3841 8418
ถนนเลียบชายหาดพัทยาเหนือ
โทรสาร +66 (0) 3841 8410
ชลบุรี 20150 เว็บไซต์: www.amari.com

สสปน.รุกโรดโชว์ต่างประเทศหวังดึงงานเทรดมาลงเมืองไทย




สสปน.รุกโรดโชว์ต่างประเทศหวังดึงงานเทรดมาลงเมืองไทย


โดย บิสิเนสไทย [25-8-2005]

สสปน. เร่งสปีดมีก๊อก 2 หวังเร่งแรงแซงทางโค้ง ก่อนสิ้นปีอุตฯ ไมซ์ 7 แสนคน ฝันนั้นเป็นจริงแน่ อัดฉีดทีมงานตามตื๊อชนิดหายใจ รดต้นคอประเทศเป้าหมายไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจ เดินทางออก นอกบ้านเจาะตลาดย่านเอเชีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น โดยมีประเทศในแถบยุโรปเป็นตัวช่วยเสริมแรง จับตลาดองค์กรการท่องเที่ยวเชิงรางวัล สู่ตลาด ออโตโมทีฟ, ยา, ประกัน ในทุกประเทศเป้าหมายที่รุกคืบเข้าไปเปิดตัว

นางมาลินีย์ กิตะพาณิชย์ ผู้อำนวย- การฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลและการประชุม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. เปิดเผยถึงแผนงานในครึ่งปีหลังว่า จะรุกหนักตลาดในแถบเอเชีย เน้นไปยังประเทศจีนและอินเดีย ขณะที่ตลาดทั้ง M และ I จากวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันและสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความนิ่ง ส่งผลกระทบให้บริษัทและองค์กรภายในประเทศควบคุมงบประมาณการใช้จ่าย จัดการประชุมในเชิงการท่องเที่ยวกลุ่ม เล็กลงและภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน

สำหรับตัวเลขตลาดไมซ์ในปี 2547 ที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มเป้าหมายที่เดินทางเข้าร่วมประชุมใน อุตฯ ไมซ์ทั้งระบบมีจำนวนทั้งสิ้น 400,000 คน โดยตั้งเป้าในปี 2548 ไว้ที่จำนวน 700,000 คน ในส่วนของตลาด M, I ในช่วง ครึ่งปีหลัง ทางสสปน.ยังมีงานเทรดโชว์อีก 2 งาน ทั้งในฝั่งอเมริกาและยุโรป ที่จะต้องเดินทางออกเป้าหมายที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อเตรียมการที่จะดึงงานดังกล่าวเข้ามาจัดขึ้นภายในประเทศไทยในครั้งต่อไป

“ทั้ง 2 งาน ที่สสปน.เตรียมที่จะ เข้าไปคือ งาน Motivation Show หรือ ITME ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา และงาน EIBTM ที่บาเซโลนา สเปน เป็นงาน The Global Meetings & Incentive Exhibition ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่สสปน.ยังไม่เคยเข้าไปทำตลาด การออกไปโรดโชว์ในครั้งนี้ สสปน.จะไปกันเป็นทีมพบกับผู้ซื้อโดยตรงที่เรียกว่า Meeting Planner”

นางมาลินีย์ ยังกล่าวถึงแผนการทำ ตลาดในประเทศญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า จากการเดินทางไปเปิดตลาดในประเทศญี่ปุ่น ผลเป็นที่น่าพอใจแต่ทางสสปน.จะต้องเดินทางกลับไปเจรจาอีกครั้งในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ เพราะช่วงเวลาในการตัดสินใจของชาวญี่ปุ่นจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปี

“ตลาด M, I จะเน้นประเทศที่อยู่ รอบๆ เมืองไทย ซึ่งมีอยู่ 5 ประเทศ ที่ต้องเร่งเข้าไปทำตลาดเพื่อดึงคนเข้ามา ประกอบด้วย จีน, อินเดีย, เกาหลี, ญี่ปุ่น และไต้หวัน ซึ่งจะมีความถี่ที่จะเข้ามาประชุมในเมืองไทยสูงกว่า เมื่อเทียบกับประเทศในแถบยุโรป จะมีการตัดสินใจที่นานเพราะอยู่ไกล แต่ถ้าเพิ่มความถี่ออกไปพบลูกค้า ไม่ใช่ไปครั้งเดียวแล้วหาย และเน้นไปยังตลาดองค์กรทุกประเภท เช่น กลุ่มออโตโมทีฟ, ยา, ประกัน กลุ่มเป้า-หมายก็คือดีลเลอร์ ซึ่งองค์กรเหล่านี้จะมีการท่องเที่ยวเชิงรางวัลจัดให้กับพนักงานที่นำความสำเร็จมาสู่องค์กรทุกปี”

นอกจากนี้ สสปน.ยังให้การสนับสนุน การจัดประชุมและการจัดงานมอบรางวัลให้กับนักขายมือทอง ของวงการธุรกิจการเงินและการประกันชีวิตทั่วโลกของจีน หรือ The Annual International Dragon Award (IDA) โดยการสนับสนุนจากบริษัทไอเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าภาพในงานครั้งนี้ ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมในงาน 2,200 คน ที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ณ ปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าผลการดำเนินการในครั้งนี้ จะมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

นายทรงวิทย์ อิทธิพัฒนากุล นายก- สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่ กล่าวว่า การประชุมและการจัดงานมอบรางวัลให้กับนักขายมือทอง ของวงการธุรกิจการเงินและการประกันชีวิตทั่วโลกของจีน หรือ (IDA) ขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่นี้ คาดว่าผู้เข้าร่วมประชุมในลักษณะของการท่องเที่ยวเชิงรางวัล (Incentive) จะมีการใช้จ่ายต่อหัวประมาณ 3,100 บาท/คน/วัน และหากมีการเปิดเส้นทางบินตรงจากกลุ่มเป้าหมายประเทศจีนบินตรงเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่มากขึ้น อย่างเช่น เซี่ยงไฮ้ กวางเจา ก็จะเป็นการเปิดประตูสู่การแหล่งท่องเที่ยวในแถบภาคเหนือของไทยได้ในอีกระดับหนึ่ง

“ผู้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้มีผู้บริหาร ระดับซีอีโอมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งมีอำนาจการตัดสินใจที่จะพาทีมงานของเขาเดินทางท่องเที่ยวในเชิงรางวัล หากทั้ง 100 บริษัท ภายใน 5 ปี เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเฉลี่ยปีละ 20 บริษัท พร้อมกับพนักงานบริษัทละ 500-1,000 คน เป็นอย่างต่ำ ก็จะเกิดปริมาณเงินหมุนเวียนทางการท่องเที่ยว แต่เชียงใหม่ยังไม่มีศูนย์-ประชุมที่รองรับปริมาณคนเกิน 2,500 คน แต่ในอนาคตได้มีการเตรียมสถานที่เพื่อสร้างเป็นศูนย์ประชุมซึ่งอยู่ใกล้กับสนามกีฬา 700 ปี”


Resource:http://www.businessthai.co.th/bt/content.php?data=409380_Marketing

เมื่อเจ้าหญิงแห่งท้องทะเลต้องหาปราสาทใหม่




เมื่อเจ้าหญิงแห่งท้องทะเลต้องหาปราสาทใหม่

โดย บิสิเนสไทย [25-8-2005]

ธุรกิจเรือสำราญ “โอเชี่ยน ปริ้นเซส” หรือ เจ้าหญิงแห่งท้องทะเล กำลังตามหาปราสาทแห่งใหม่ ด้วยการปรับองค์กรรับความเสี่ยง เดิมล่องทะเลทั้งอ่าวไทยและอันดามัน ปีนี้หันมาล่องอ่าวไทยอย่างเดียว แก้วิกฤตอันดามัน ขานรับนโยบายรัฐ โครงการริเวียร่า หวังพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส อาศัยข้อได้เปรียบเหลือเพียงเจ้าเดียวในเมืองไทย หลังจากที่อันดามัน ปริ๊นเซส หรือ “สตาร์ครุยซ์” ปิดกิจการไป


“บิสิเนสไทย” ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์ นายอลงกช วิสัยจร รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทโอเชี่ยน ปริ้นเซส กรุ๊ป จำกัด ถึงแนวทางและทิศทางการตลาด หลังจากที่ อันดามัน ปริ๊นเซสคู่แข่งในตลาดล่องเรือสำราญ ได้ปิดกิจการไปก่อนหน้านี้เนื่องจากประสบภาวะขาดทุน

ทุกวันนี้ โอเชี่ยน ปริ้นเซส โดนสถานการณ์แวดล้อมรุมเร้า ทั้งราคาน้ำมัน ปัจจัยหลักของต้นทุนค่าใช้จ่าย กำลังซื้อชะลอและความหวาดกลัวเรื่องเที่ยวทางทะเล แต่อันดามัน ปริ๊นเซสยังยืนหยัดที่จะเดินหน้าต่อกับการท่องเที่ยวทางทะเล เพราะมองว่าธุรกิจยังมีช่องว่างที่จะก้าวต่อไปได้อีก โดยเฉพาะลูกค้าองค์กรหรืออินเซ็นทีฟ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อหัวค่อนข้างสูง

ปรับเส้นทาง-ระบบการจัดการ
หลังจากเกิดวิกฤตสึนามิเจ้าหญิงแห่งท้องทะเลได้ปรับตัวทางด้านธุรกิจ ด้วยการปรับเปลี่ยนด้านเส้นทางจากเดิม เดินเรือระยะไกลไปถึง เกาะสมุย เกาะพงัน มาเป็นไกลสุด อยู่ที่ทะเลจังหวัดระยอง ลดความถี่ในการเดินเรือไป จากเดิมเดินเรือ 4 เที่ยวต่อเดือน ปัจจุบันเหลือที่ 1 เที่ยวต่อเดือน

“เชื่อว่าช่วงปลายปีหลังจากที่ลูกค้าบุ๊กกิ้งเข้ามาคาดว่าจะกลับสู่ช่วงปกติ อีกทั้งเป็นช่วงไฮซีซัน ทั้งนี้ระบบการจัดการภายในเราให้พนักงาน 300 คน ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถทำงานแทนกันได้ในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนี้ให้เน้นการบริการเป็นหัวใจสำคัญ “รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทโอเชี่ยน ปริ้นเซส กล่าวอย่างมั่นใจ

เบนเข็มไปอ่าวไทย
อลงกชบอกว่า ธุรกิจในครึ่งปีหลัง จะต้องวางแผนใหม่ ด้วยการเดินเรืออ่าวไทยถึงสิ้นปี ส่วนฤดูกาลหน้าค่อยมาพิจารณาอีกทีกับเรื่องการกลับไปเดินเรือฝั่งอันดามันเช่นเดิม นอกจากนี้การตลาดนั้นจะออกแพ็กเกจ 1-2 ทริปต่อเดือนเพื่อกระตุ้น ส่วนระยะยาวเตรียมการตลาดรองรับโครงการภาครัฐ ริเวียร่า และการส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืน อาทิ เกาะช้าง จังหวัดตราด

“เราเน้นการบริการแบบไทย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการได้เปรียบระยะยาวสำหรับการแข่งขันในอนาคต การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก (Brand Awareness) ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือเริ่มต้นที่ 5,000 บาทต่อคน ซึ่งแพ็กเกจประกอบด้วย ที่พัก อาหาร กิจกรรมสันทนาการ 3 วัน 2 คืน และ 4 วัน 3 คืน ทางบริษัทก็มีตอบสนองความต้องการลูกค้า แม้จะลดระยะทางลงแต่หันมาให้ความสำคัญกับกิจกรรมและการบริการเพิ่มเติม เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า คุ้มค่า

สิ่งที่ปรับเส้นทางหันมาเน้นอ่าวไทย จุดเด่นคือ ลูกค้าสามารถไปขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือคลองเตย ทำให้สะดวกด้านค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับภูเก็ตซึ่งลูกค้าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูง อัตราการเติบโตเดิม บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าแต่ละไตรมาสจะโต 50% มาถึงตอนนี้ทำได้คือการประคองตัวทั้งปี และการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายรอบด้าน

ให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย
“การสร้างการรับรู้ว่า ในเมืองไทย ยังมีเรือสำราญดำเนินการอยู่ รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย การบริการ เนื่องจาก ประชาชนส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าการท่องเที่ยวทางทะเลไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวกันอยู่ ถือเป็นโจทย์หนักที่เราต้องพยายาม” นายอลงกชกล่าว

กิจกรรมการตลาดช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม นี้จะเป็นโปรแกรมเที่ยวทะเล อาทิ เกาะช้าง เกาะกูด จังหวัดตราด ส่วนเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เริ่มเดินเรือตามโครงการริเวียร่า หรือชายฝั่งตะวันออกอ่าวไทย

สำหรับงบการตลาดที่วางเอาไว้ 20%ของยอดขาย ได้ใช้ด้านวางแผนสื่อ (Media Planning) เน้นหนักไปทางสื่อเฉพาะทาง เพื่อเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย รวมไปถึงการโปรโมตผ่านเว็บไซต์ทางอินเทอร์เน็ต

เน้นเจาะอินบาวด์
แผนปี 2549 บริษัทวางแผนจะเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาเที่ยว หรืออินบาวน์ให้มากขึ้น โดยจะประสาน- งานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักต่างประเทศต่างๆ ในการโรดโชว์ การแนะนำ ประชาสัมพันธ์ให้นักท่อง- เที่ยวรู้จักเรา

ถือเป็นการขยายธุรกิจต่อยอดจาก การตลาดในประเทศ (Domestic) ตั้งเป้าว่าสัดส่วนอินบาวด์จะเป็น 25% ของลูกค้าทั้งหมด ทั้งนี้โครงการในปี 2549 ชื่อ Air Sea Land หรือการท่องเที่ยวครบวงจร ทั้งทางอากาศ ทางบกและทางเรือ จะมีการจับมือกับพันธมิตร สายการบิน โรงแรมที่พัก และบริษัททัวร์ ระหว่างนี้กำลังเจรจาเงื่อนไข รองรับการท่องเที่ยวฝั่งทะเลอันดามันที่ปีหน้าเชื่อว่าจะสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้

ก่อนเกิดเหตุการณ์สึนามิ กลุ่มลูกค้า จากต่างประเทศ อาทิ เกาหลี ทัวร์ฮันนี-มูน และออสเตรเลียที่มากับเครื่องบินเช่าเหมาลำหรือชาร์เตอร์ไฟลต์ ได้จองทัวร์เอาไว้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ได้ยกเลิกไป ซึ่งขณะนี้ได้เจรจากันใหม่ ซึ่งทัวร์ทั้ง 2 ประเทศ ตกลงว่าจะมาเที่ยวทางเรืออีกครั้ง คาดว่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้า

ปัจจัยผลกระทบนอกจากราคาน้ำมัน แล้ว ภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภัยก่อการร้ายเหล่านี้ ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความกังวล หวาดกลัว ดังนั้นที่แก้ได้ตอนนี้คือ เรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งในและต่าง-ประเทศในการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาเช่นเดิม

กลยุทธ์ยุคตั้งรับ
รศ.ชื่นจิตต์ แจ้งเจนกิจ อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหา-วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวให้ความเห็นว่า ปัจจุบันตนมองว่าธุรกิจเรือสำราญอยู่ในภาวะเริ่มอิ่มตัว เนื่องจากกิจกรรมและการตลาดไม่หวือหวา ไม่มีความแปลกใหม่ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่นิยมเท่าที่ควร

สำหรับ โอเชี่ยน ปริ้นเซส นั้นแม้ขณะนี้ไม่มีคู่แข่ง ผูกขาดเพียงรายเดียวในตลาด ก็ต้องเข้าสู่ยุคการปรับตัว เนื่องจากปัจจัยสภาวะแวดล้อมบีบบังคับ อาทิ ราคาน้ำมัน อำนาจซื้อผู้บริโภคที่ชะลอ ไม่เพียงคนไทยเท่านั้น แต่แนวโน้มเกิดขึ้นทั่วโลก ความมั่นใจของประชาชน ทั้งนี้องค์กรส่วนใหญ่เน้นการประหยัดงบ

ทางออกของธุรกิจเรือสำราญที่อยู่ใน ภาวะตั้งรับสถานการณ์ที่บีบคั้น มองว่าถ้าหันมาทำการตลาดเชิงรุกคงยาก ดังนั้นการโฟกัส (Focus) ทั้งกลุ่มเป้าหมายและเลือกกิจกรรมให้สามารถเข้าถึงและวัดผลได้ ตามด้วย Cost Leadership เป็นการประหยัดต้นทุนและคัดสรรเรื่องกิจกรรมและงบ รวมไปถึงการวางแผนค่าใช้จ่ายด้วย


Resource:http://www.businessthai.co.th/bt/content.php?data=409379_Marketing

เซ็นทรัลพัฒนาวายคลับ CRM-ฝังแบรนด์ เจาะตลาดวัยรุ่น









เซ็นทรัลพัฒนาวายคลับ CRM-ฝังแบรนด์ เจาะตลาดวัยรุ่น

โดย [22-9-2003]

เซ็นทรัล พัฒนาวายคลับ มุ่งสร้างความสัมพันธ์กับฐานลูกค้ากลุ่มอายุ 13-22 ปี ต่อยอดฐานลูกค้าหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครัว เร่งพัฒนากิจกรรมการตลาดตรงถึงกลุ่มเป้าหมายยังสถานศึกษา หวังสร้างเครือข่ายสมาชิกเป็น 30,000 ราย ในสิ้นปี 2546 เพื่อผลของความสัมพันธ์ที่ดีและความภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต

นายโยธิน ธรรมจำรัส ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า แนวคิดเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการ วายคลับ มาจากการที่เซ็นทรัลได้ทำงานในโครงการเซ็นทรัลบัณฑิตน้อย สำหรับกลุ่มน้องๆ ระดับอนุบาล เป็นที่รู้จักในตลาด และได้หยุดการทำงานของโครงการไประยะหนึ่ง และหันมาทำโครงการเซ็นทรัลคาร์ดแทน ทำให้ฐานลูกค้ามีช่องว่าง ก่อให้เกิดการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและครอบคลุม

วายคลับ เริ่มพัฒนาและออกบัตรให้กับ ลูกค้าในเดือนมิถุนายน 2546 ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 10,000 ราย ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีสมาชิกให้ได้ 30,000 ราย ในสิ้นปี 2546 โดยเกณฑ์การเข้าเป็นสมาชิก จะอยู่ในช่วงอายุ 13-22 ปี มีค่าใช้จ่ายในการสมัคร 200 บาท แต่จะได้บัตรกำนัล มูลค่า 200 บาท หรือซื้อของภายในวงเงิน 600 บาท ก็สามารถยื่นใบสมัครได้

ปัจจุบันใช้อยู่ใน เซ็นทรัลทั้ง 6 สาขา ได้แก่ ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า บางนา ชิดลม พระราม 3 และสาขารังสิต โดยสาขาลาดพร้าวเป็นสาขาที่มียอดสมาชิกสูงสุด รองลงมาคือ สาขาปิ่นเกล้า และชิดลม

“เรากำลังพัฒนาลอยัลตี้โปรแกรมใน รูปแบบ กิจกรรมที่ทำกับกลุ่มสมาชิกโดยตรงอาทิ การจัดกิจกรรมเรดคลับ, มินิคอนเสิร์ต การจัดทำจดหมายข่ายส่งไปยังสมาชิก ทุก 2 เดือน มีเนื้อหาสาระที่กลุ่มวัยรุ่นให้ความสนใจ ทั้งดนตรี ภาพยนตร์ และทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่น”

หากมองในภาพรวมของเซ็นทรัล แม้ว่าจะไม่ใช้ห้างสรรพสินค้าสำหรับวัยรุ่นโดยตรง เพราะกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัว ดังนั้นการทำกิจกรรมการตลาดและสื่อข่าวสารต่างๆ จึงมุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม

บัตรเซ็นทรัล วาย คลับ (Central Y Club) ลักษณะของบัตรนี้จะมีการดีไซน์ที่ต่างจาก เซ็นทรัลคาร์ด ทั่วไป เช่น การดีไซน์ลวดลายบนบัตรและสีสันโทนสีแดงและสีส้ม มาทำเป็นบัตร 3 มิติ เพื่อสร้างความแปลกใหม่และน่าใช้ ทั้งนี้ เงื่อนไขในการเป็นสมาชิกผู้สมัครจำกัดว่าต้องมีอายุระหว่าง 13-22 ปีเท่านั้น ในขณะนี้ได้ทดลองในเฉพาะสาขา คือ เซ็นทรัล ชิดลม, ลาดพร้าว, บางนา และปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นย่านที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นสถานที่วัยรุ่นมาพบปะสังสรรค์กันจำนวนมาก

นอกจากนี้สิทธิ์ประโยชน์ในการใช้บัตร สามารถใช้เป็นส่วนลด 5% เฉพาะสินค้าราคาปกติ ที่เซ็นทรัลทุกสาขา ซึ่งร้านที่เข้าร่วมรายการนี้มี ซีนโซน, ซูเปอร์สปอร์ต และร้านบีทูเอส อีกทั้งยังเป็นการติดต่อกับลูกค้ากลุ่มนี้เรื่อยๆ เนื่องจากเซ็นทรัลจะจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น รายการพรีวิว เดย์ (Preview Day) รวมไปถึงข่าวสารประเภทไดเร็กต์เมลล์ ชื่อว่า Teens@Central Newsletter ทุกๆ 2 เดือน ที่สำคัญคือ บัตรนี้สามารถใช้ร่วมกับเงินสดหรือบัตรเซ็นทรัลคาร์ด และบัตรเครดิต อื่นๆ ได้

การให้ความสำคัญกับกลุ่มวัยรุ่นของ บริษัท ได้แก่ จัดโซนนิ่งสินค้าสำหรับวัยทีนขึ้นมา ชื่อว่า ซีนโซน (ZEENZONE) เป็นแหล่งที่รวมดีไซน์และสินค้าแฟชั่น อาทิเช่น เสื้อผ้าและรองเท้า ซึ่งตั้งแต่เริ่มจัดรายการส่งเสริมการขายนี้ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายดีพอสมควร และมีการบอกต่อในการชักชวนมาสมัครกันมากขึ้น

นางศรีกัญญา มงคลศิริ กรรมการ ผู้จัดการบริษัท ชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการสำรวจกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมาก ประมาณ 20,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนรอบข้างสูง และที่ผ่านมายังไม่มีกลุ่มสินค้าใดที่มีความชัดชนในการทำตลาดตรงถึงลูกค้ากลุ่มนี้

สิ่งที่ดีของการทำตลาดกับคนวัยนี้ คือ เป็นการเริ่มต้นปลูกฝังแบรนด์กับกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นวัยที่รับเรื่องแบรนด์เร็วมาก และฝังใจกับแบรนด์ เมื่อเติบโตขึ้นในอนาคตจะให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่รู้จักก่อน จึงเป็นโอกาสของสินค้าที่จะทำตลาดใน ระยะยาว

Resource:http://www.businessthai.co.th/bt/content.php?data=406030_Marketing